วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความเป็นมา

การทอผ้ามัดลายมัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นบ้านที่นิยมทำกันมานานแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ภาคกลางมีการทอผ้ามัดลายมัดหมี่ในหลายจังหวัดเช่น จังหวัดชัยนาท จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดลพบุรี ส่วนภาคเหนือมีการทอผ้าที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดน่าน (ผ้าไทย.....สายใยแห่งภูมิปัญญาสู่คุณค่าเศรษฐกิจไทย, 2548,42

สรุป ผ้ามัดลายมัดหมี่เป็นกรรมวิธีในการทอผ้าอย่างหนึ่ง ที่สร้างลวดลายก่อนย้อม โดยการเอาเชือกมัดด้ายหรือไหมเป็นเปราะ ๆ ตามลาย เมื่อย้อมสีจะไม่ติดส่วนที่ย้อมไว้ทำให้เกิดลวดลายถ้าต้องการให้มีหลายสีก็ต้องย้อมหลายครั้งจนครบสีที่ต้องการ (ศาสตราจารย์วิบูล ลี้สุวรรณ,สารานุกรมผ้า/เครื่องถักทอ:2550:222

ผ้ามัดลายมัดหมี่ คือ ผ้าที่ทอจากด้ายหรือไหมที่ผูกมัดโดยการตัดผูกให้เป็นลวดลาย แล้วย้อมสีก่อนทอ ผ้ามัดลายมัดหมี่มีทั้งทอด้วยด้ายและไหม ในปัจจุบันนอกจากจะนิยมทอด้วยเส้นใย ฝ้าย และเส้นใยไหม ซึ่งเป็นใยธรรมชาติแล้วยังทอจากเส้นใยวิทยาศาสตร์ เช่น เส้นใยโทเรอีกด้วย

ลักษณะเฉพาะของผ้ามัดลายมัดหมี่ คือ รอยซึมของสีที่วิ่งไปตามบริเวณของลวดลายที่ถูกมัดและการเหลื่อมล้ำในตำแหน่งของเส้นด้ายเมื่อถูกนำขึ้นกี่หรือในขณะที่ทอซึ่งจะทำให้เกิดลักษณะลายที่คลาดเคลื่อนจากผ้าทอชนิดอื่น ๆ การใช้ความแม่นยำในการมัด การย้อม และการขึ้นด้ายบนกี่ตลอดจนการทอจะช่วยลดความคลาดเคลื่อนนี้ลงได้ หรืออาจใช้ลักษณะ การเหลื่อมล้ำนี้เป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบ ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ของผ้ามัดลายมัดหมี่ (เยาวนิจ ทองพาหุสัจจะและคณะ 2526:1)

การออกแบบลวดลายผ้ามัดลายมัดหมี่เป็นการสร้างสรรค์ลวดลาย จากช่วงจังหวะการมัดเส้นใยไหม หรือเส้นใยฝ้ายเป็นเปลาะ ๆ ด้วยเส้นเชือก แต่เดิมจะใช้เชือกกล้วยซึ่งหาได้ง่ายเพราะทำได้เองจากาบกล้วย ในปัจจุบันนิยมใช้เชือกฟางพลาสติกแทน การมัดด้วยเส้นเชือกนี้ทำให้สีซึมผ่านเข้าไปในบริเวณที่ถูกมัดไม่ได้ เมื่อนำเส้นใยไปย้อมสีแล้วแกะเชือกออกจึงเกิดเป็นจังหวัดลวดลาย ตามช่วงของการมัดเส้นเชือก ลวดลายมัดหมี่จะคมชัดสวยงาม หากมัดให้แน่นในแต่ละจุดแต่ถ้ามัดไม่แน่นจะทำให้สีซึมเลอะ อีกทั้งขั้นตอนในการย้อมสีต้องถี่และทุกเส้นใยให้สีซึมทั่วถึงกันปมเชือกทุกจุดจึงต้องมัดให้แน่น บางท้องถิ่นที่นิยมลวดลายหมี่หลาย ๆ สี ต้องมัดรอบสี และย้อมสีหลาย ๆ ครั้ง

ลวดลายมัดหมี่ที่มีการสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณนั้นส่วนใหญ่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมในวิถีชีวิต ความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น ลายดอกแก้ว ลายต้นสน ลายโคมห้า ลายโคมเจ็ด ลายบายศรี ลายกวาง ลายนกยูง ลายเต่า และลายพญานาค (ผ้าไทย........สายใยแห่งภูมิปัญญาไทย สู่คุณค่าเศรษฐกิจไทย,2548,42)

การใช้ผ้าลายมัดหมี่ในประเทศไทย นิยมใช้กันเป็นเครื่องนุ่งห่ม โดยทอผ้ามัดหมี่เป็น ๒ รูปแบบ คือผ้าซิ่น และผ้าโจงกระเบน ปัจจุบันได้พัฒนารูปแบบให้เกิดประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น เช่น ผ้าปูโต๊ะ ผ้าคลุมเตียง ผ้าม่าน

เทคนิคการทอผ้าแบบมัดหมี่ จำแนกประเภทตามระบบสากลได้ 3 ประเภท คือ

1. มัดหมี่เส้นพุ่ง (weft lkat) เป็นผ้ามัดหมี่ที่มัดย้อมลวดลายเฉพาะเส้นพุ่งเท่านั้น
2. มัดหมี่เส้นยืน (warp lkat) เป็นผ้ามัดหมี่ที่มัดลวดลายเฉพาะเส้นยืนเท่านั้น
3. มัดหมี่ซ้อนหรือมัดหมี่สองทาง (Double lkat) เป็นผ้ามัดหมี่ที่มัดย้อมลวดลายทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน

ผ้ามัดลายมัดหมี่ที่เป็นผลผลิตของหมู่บ้านหนองฉนวน ตำบลบ่อกรุ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี จะเป็นเทคนิคการทอผ้ามัดหมี่ซ้อนหรือมัดหมี่สองทาง (Double lkat) เป็นผ้ามัดหมี่ที่มัดย้อมลวดลายทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน

.

เครื่องมือที่ใช้ในการทำผ้ามัดลายมัดหมี่

1. เส้นด้ายสีขาว ทำเป็นไจ
2. ปอสี สำหรับใช้มัดลายบนเส้นด้าย บางคนก็อาจใช้เชือกกล้วย
3. กง คือ ทำด้วยไม้ไผ่ไขว้กัน ใช้ปั่นฝ้ายใส่หลอด
4. หลา คือ เครื่องมือสำหรับปั่นฝ้าย ปั่นหลอด

.

ขั้นตอนการผลิต

ขั้นตอนที่ 1 นำเส้นด้ายที่ซื้อจากร้านค้า เป็นไจ นำมาใส่กง มีลักษณะนามเป็น เข็ด จะมีทั้งขนาดเข็ดเล็ก และเข็ดใหญ่ ปริมาณด้าย 5 ไจ หรือ 5 เข็ด เรียกว่า กั้น ใช้หลอดละไจ แล้วแยกเส้นด้ายเพื่อมิให้ติดกัน หรือพันกันให้เรียบร้อย


ขั้นตอนที่ 2 ถ่ายเส้นด้ายไปพันรอบหลักหมี่ หรือโฮงหมี่ ซึ่งมีความกว้างสัมพันธ์กับความกว้างของฟืมที่ใช้ทอผ้า นับจำนวนเส้นด้ายให้เป็นหมวดหมู่ แต่ละหมู่มีจำนวนเส้นด้ายสัมพันธ์กันกับลวดลายที่จะใช้ แล้วนำไปค้นหมี่ ซึ่งวิธีการค้นหมี่ คือการนำเส้นฝ้ายมามัดเข้ากับหลักหมี่โดยเริ่มต้นจาก
ด้านล่างก่อนแล้วพันรอบหลักหมี่ไปเรื่อย ๆ เรียกว่า การก่อหมี่ การค้นหมี่จะต้องค้นจากล่างขึ้นบน หรือบนลงล่างก็ได้ จนครบจำนวนรอบที่ต้องการ วนรอบทีละ 2 เส้น ถ้าเริ่มต้นจากด้านขวา ก็ต้องวนซ้ายมาขวาทุกครั้ง ตรงกลางของเส้นด้ายแต่ละลำจะมีสายแนมผูกไว้ เพื่อไม่ให้หมี่พันกัน หรือหลุดออกจากกัน ใช้เวลาประมาณในการทำรอบหลักหมี่ประมาณ 1 ชั่วโมง


ขั้นตอนที่ 3 เมื่อวนเส้นด้ายครบรอบตามต้องการแล้ว ใช้มือรูดเส้นด้ายที่เป็นช่วง ๆ เพื่อมิให้เส้นด้ายติดกัน ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สำหรับป้าสุก กาฬภักดี จะรูดเส้นด้ายจากโฮงมัดหมี่ไปใส่โฮงมัดหมี่อีกอันหนึ่งเพื่อเตรียมมัดเป็นลวดลาย


ขั้นตอนที่ 4 การมัดหมี่ มัดกลุ่มเส้นด้ายแต่ละลูกหมี่ด้วยเชือกฟางจนครบโฮงมัดหมี่ การเริ่มต้นมัดลายหมี่ อาจมดจากด้านบนไล่เรียงลงข้างล่าง หรือมัดข้างล่างก่อนจึงไล่เรียงขึ้นข้างบน หรือมัดจากตรงกลางก่อน จึงขยายออกไปเต็มโฮงมัดหมี่ การมัดให้เริ่มมัดปลายเชือกด้านหนึ่งกับลูกหมี่ก่อนแล้วจึงพันอีกปลายหนึ่งซ้อนทับให้แน่นมัดให้เป็นแถว ไม้แถวหนึ่งมีจำนวนเส้นด้าย 25 เส้น ส่วนแถวที่สอง จำนวน 12 เส้น ผูกเป็นแถว ๆ ต่อไป ๆ จนครบ 39 แถว ไม่ให้สีย้อมซึมเข้าข้อหมี่ เมื่อพันทับกันไปจนได้ความยาวตามลายหมี่แล้ว มัดปลายเชือกกับลูกหมี่ให้แน่นเช่นกน โดยเหลือปลายเชือกไว้ เมื่อเวลาแก้ปอมัดจะทำได้ง่าย เอาเชือกเส้นหนึ่งสอดเข้าไปช่องหลักหมี่ข้างใดข้างหนึ่งผูกกลุ่มด้ายไว้เป็นวงไม่ให้หมี่ที่มัดลวดลายแล้วหลุดออกจากกัน และใช้เป็นหูหิ้วสำหรับจับเวลาย้อม ถอนด้ายมัดหมี่อออกจากโฮงมัดหมี่ หรือหลักหมี่ สำหรับป้าสุก กาฬภักดี จะมัดโดยดูลวดลายจากแบบ แต่บางครั้งลวดลายก็อยู่ในใจการผูกมัดลายจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีแบบก็สามารถมัดได้เลย

.

อุปกรณ์การย้อม

1. สีสังเคราะห์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการย้อม ที่นางสุก กาฬภักดี ใช้ย้อมมัดหมี่ ประกอบด้วย สีสังเคราะห์ หรือที่เรียกกันว่าสีเคมี เป็นสีที่สงเคราะห์ขึ้นจากสารเคมี หรือสีวิทยาศาสตร์เป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายเพราะให้สีที่สดใสและสะดวกกว่าสีที่ได้จากธรรมชาติ ราคาขายในปัจจุบัน 10 กรัม (1 ขีด) ประมาณ 40-50 บาท ผู้ทอสามารถเลือกสีและปริมาณได้ตามความต้องการของทุนทรัพย์แต่ละคน
2. เตาไฟ
3. เชื้อเพลิง (ไม้แห้ง)
4. กาละมังสังกะสี หรือโลหะ
5. น้ำสะอาด
6. ไม้ไผ่เหลากลม ๆ 2 อัน ขนาดความยาว 50 เซนติเมตร. กว้างและหนาประมาณ1 เซนติเมตร

.

ขั้นตอนการย้อมผ้ามัดลายมัดหมี่ และการแก้ปอมัดหมี่

ขั้นตอนที่ 1 ใส่น้ำสะอาดตั้งเตาไฟให้เดือดอุณหภูมิ ประมาณ 98 – 100 องศา เมื่อน้ำเดือนใส่สีเคมีลงในกะละมังย้อม ลายลายน้ำให้ดีแล้วนำด้ายลงย้อมประมาณ 20 นาที ระหว่างการย้อมต้องกลับเส้นด้ายเรื่อย ๆ เพื่อให้สีย้อมซึมเข้าสม่ำเสมอ


ขั้นตอนที่ 2 นำเส้นด้ายมัดหมี่ไปล้างในกะละมังน้ำเปล่าเพื่อล้างสีอออกแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง


ขั้นตอนที่ 3 เมื่อเส้นด้ายมัดหมี่แห้ง แล้วก็นำไปใส่โฮงมัดหมี่เพื่ออบสี โดยการเอาเชือกปอแก้วไปมัดตรงสีที่ได้รับการย้อมแล้ว ต่อจากนั้นแก้มัดที่ต้องการย้อมสีออก แล้วย้อมสีที่สองทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้สีครบตามความต้องการ สีขาวคือสี่แก้มัดครั้งสุดท้าย (การมัดด้ายเป็นวิธีการป้องกันมิให้สีอื่น ๆ เข้าไปติดบริเวณที่มัดไว้)


ขั้นตอนที่ 4 การแก้หมี่ คือ กรรมวิธีแก้เชือกปอแก้วที่ใช้มัดหมี่แต่ละลำออกให้หมด โดยใช้มีดคม ๆ หรือใบมีดโกนชนิดมีด้าม การแก้หมี่จะต้องทำอย่างระมัดระวังอย่าให้มีดถูกเส้นด้ายขาด เมื่อแก้เชือกฟางออกหมดแล้วจะเห็นลายหมี่ที่สวยงามและชัดเจนมาก

.

การเตรียมเส้นพุ่ง

ขั้นตอนที่ ๑ การกวัดหมี่ นำหมี่ที่แก้เรียบร้อยแล้วใส่กง และกวัดออกจนหมดปอย ต้องระมัดระวังอย่าให้เส้นด้ายขาดตอนเพราะเมื่อนำไปทอแล้วจะไม่เป็นลายตามต้องการ


ขั้นตอนที่ ๒ การปั่นหลอด นำด้ายมัดหมี่ที่กวักเรียบร้อยแล้วไป “ปั่น” (กรอ) ใส่หลอดไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่เสียบแน่นอยู่กับเหล็กในของหลา ความยาวของหลอดไม้ไผ่สัมพันธ์กันกับกระสวยทอผ้า เมื่อหมุนกงล้อไม้ไผ่ของหลา ให้ได้จำนวนเส้นด้ายหมี่พอเหมาะกับขนาดของร่องกระสวยทอผ้า


ขั้นตอนที่ ๓ การร้อยหลอดด้าย ร้อยหลอดด้ายที่ปั่นแล้วตามลำดับก่อนหลังห้ามร้อยขาดจะทำให้ลำดับลายผิดไปไม่สามารถทอเป็นลวดลายตามต้องการได้


กระสวย คือ ที่ใส่ด้ายเส้นพุ่งที่ใช้ในการทอผ้า โดยปกติมีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ส่วนหัวและส่วนท้ายของกระสวยจะเรียวมนคล้ายเรือ ปลายทั้งสองข้างงอนเชิดเล็กน้อย ตรงกลางป่องและเจาะเป็นช่องสำหรับใส่ด้ายที่กรอ ๆ ไว้เป็นด้ายเส้นพุ่ง ใสขณะที่ทอกระสวยจะพุ่งสลับซ้ายขวาไปมา เพื่อสอดด้ายเส้นพุ่งไม่ขัดกับด้ายเส้นยืน สลับกับการกระทบฟืม เพื่อให้เส้นด้ายเรียงเข้าด้วยกันแน่นและเป็นระเบียบ


หลอดใส่ฝ้าย ทำด้วยเหล็กหรือไม้ตัดเป็นแท่งใช้สำหรับใส่ด้ายเข้ากระสวยเตรียมทอผ้า


.

การเตรียมเส้นยืน

ขั้นที่ 1 การเดินฝ้าย ใช้เครื่องเดินด้ายที่มีรางสำหรับบรรจุหลอดที่ปั่นไว้แล้ว และแคร่สำหรับเดินด้าย เรียกว่า “เผือ” โครงไม้สำหรับเตรียมด้ายยืม รางมีขนาดพอเหมาะ ขนาดกว้างประมาณ 1 เมตร (ใช้ช่องว่างของใต้ถุนบ้านเป็นสถานที่วางราวหลอดด้าย) สามารถบรรจุหลอดด้ายประมาณ 180 – 200 หลอด ส่วนแคร่จะตั้งไว้ที่พื้นบ้านมีขนาดความกว้างประมาณ 1 เมตร ยาว 2 – 3 เมตร บรรจุเส้นยืนไว้ราว 200 หลา หรือประมาณ 15 เมตร เมื่อเดินด้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องปลดเส้นยืนออกจากแคร่ ขมวดให้เป็น
ลูกโซ่เพื่อกันมิให้ยุ่งก่อนเก็บลงหีบในขั้นตอนนี้ มีเทคนิคที่ต้องจัดด้ายให้เป็นหมวดหมู่ เรียกว่า การค้นด้าย เพื่อจัดเรียงเส้นด้าย กำหนดจำนวนเส้นด้ายและขนาดความยาวของผืนผ้าที่จะทอเป็นกรรมวิธีที่ต้องใช้สมาธิและทักษะชั้นสูง


รางหลอด เป็นอุปกรณ์หลังจากการเตรียมเส้นยืน และกรอเข้าหลอดเรียบร้อยแล้วถอดหลักเอาหลอดด้ายใส่เป็นหลอด ๆ จำนวนหลอดมากหรือน้อยขึ้นอยู่ที่การคำนวณเส้นยืนเพื่อใช้ในการทอ ที่ใช้รางหลอดก็เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการเก็บเป็นหมวดหมู่และง่ายต่อการใช้


ขั้นที่ 2 การหวีด้าย คือการแผ่เส้นจากลักษณะ ที่เป็นกำให้กระจายออกเป็นแผ่นเรียบ ๆ สม่ำเสมอกันม้วนเก็บเข้าแกนของกงพัดสำหรับตั้งบนกี่ ขั้นแรกจะต้องนำเอาปลายด้านหนึ่งของเส้นยืนสอดเข้าในม้วนด้าย ร้อยเส้นยืนฟันหวี ซึ่งมีจำนวนกว้างตามความต้องการ โดยผูกเข้ากับแกนกงพัดอีกคนหนึ่งใช้ฟันหวี หวีด้ายให้เรียบสม่ำเสมอกัน แล้วจึงนำไปขึงบนกี่สำหรับเก็บตะกอต่อไป

ขั้นที่ 3 การเก็บตะกอ เป็นการต่อด้ายยืนหรือด้ายเครือเข้ากับตะกอ (เหา) เส้นยืนแต่ละเส้นจะถูกคล้องไว้ด้วยห่วงเส้นด้ายสองอัน เส้นหนึ่งจะใช้สำหรับดึงเส้นยืน ส่วนอีกเส้นหนึ่งจะใช้ดึงเส้นยืนลง การเก็บตะกอ (เหา) เป็นการแบ่งด้ายออกเป็นหมู่ ๆ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทลวดลายที่ต้องการ เมื่อเก็บตะกอแล้ว เส้นยืนจะผูกเครือไว้กับเสา แล้วใช้ไม้ไขว้ดึงด้ายเครือทีละเส้น (ปกติจะมี 2 เหา) วางไว้บนกี่ สำหรับทอต่อไป วิธีการนี้เรียกว่า สืบหูกเก็บเหา

.

เครื่องมือในการทอผ้ามัดลายมัดหมี่


กี่ทอผ้า เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญยิ่งอีกอันหนึ่ง ลักษณะของกี่จะมีโครงสร้างเป็นรูปสี่แหลี่ยมประกอบด้วยเสาหลัก 4 เสา มีไม้ยึดติดกันเป็นแบบดั้งเดิมที่ยังนิยมใช้อยู่ กี่ทอผ้าจะประกอบไปด้วย


1. ไม้เหยียบหูก คือ ไม้ไผ่ลำขนาดเล็กยาวประมาณ 1 เมตร ผูกโยงกับตะกอหรือเขาสำหรับเหยียบเพื่อบังคับการสลับขึ้นลงของเครือเส้นด้ายยืน โดยปกติจะมี 2 อันสำหรับการทอแบบสองตะกอ แต่ถ้าเป็นการทอผ้าแบบสามตกกรอก็จะมี 3 อัน และถ้าเป็นการทอผ้ายกดอกพื้นฐาน


2. ไม้แป้นหูก คือ ที่นั่งของผู้ทอ


3. ฟืม คือ ส่วนที่ใช้กระทบให้ด้ายที่ทอเข้ากันแน่นมีลักษณะเป็นแผ่นซึ่งรวมเอาไม้เล็ก ๆ ถี่ ๆ เข้ากันเป็นช่อง ๆ ระหว่างช่องเหล่านี้ได้ใช้สำหรับสอดด้ายยืนทั้งหมด


4. เขาหรือตะกอ คือ ลักษณะเป็นกรอบไม้ทำหน้าที่แยกด้ายยืนออกเป็นหมู่ ภายในทำด้วยลวดหรือซี่โลหะเล็ก ๆ มีรูตรงกลางสำหรับร้อยด้ายยืนหรือเรียกว่าสืบด้ายยืนตะกอที่ใช้สืบด้ายยืนตะจ้องมีอย่างน้อย 2 ชุด ถ้าเพิ่มชุดตะกอมากขึ้นก็จะสามารถทดสลับลวดลายได้มากขึ้น

เขาหูก คือ ส่วนที่ใช้สอยด้ายเป็นเส้นยืนสำหรับแยกเส้นยืนออกเป็น 2 ฝ่าย เพื่อที่จะพุ่งกระสวยเข้าหากันได้สะดวกเขาหูกมีอยู่ 2 อัน แต่ละอันเวลาสอดด้ายก็ต้องสอดสลับกันไปเส้นหนึ่งเว้นเส้นหนึ่ง ที่เขาหูกนี้จะมีเชือกผูกแขวนไว้กับด้ายบนโดยผูกเชือกเส้นเดียว สามารถจะเลื่อนไปไหนมาไหนก็ได้ส่วนล่างยังมีเชือกผูกติดกับคานเหยียบ มีไว้เพื่อเวลาต้องการดึงด้ายให้เป็นช่องที่เหยียบคานเหยียบนี้ จึงดึงเขาหูกให้เลื่อนขึ้นลงได้ ถ้าหากต้องการทำลายก็ต้องใช้คานเหยียบหลายอัน เช่น


ลายสองไม้ใช้คานเหยียบ 4 อัน
ลายสามไม้ใช้คานเหยียบ 6 อัน
ถ้าเป็นลายขัดหรือลายธรรมดาใช้ไม้เหยียบ 2 อัน


5. ไม้ไขว้ คือ อุปกรณ์สำหรับจัดเส้นด้ายให้เป็นระเบียบ


6. ไม้ม้วนผ้า คือ ไม้ท่อนสี่เหลี่ยมที่ปลายสองข้างเสียบเข้าเดือดที่หลักไม้ด้านใกล้ผู้ทอเพื่อม้วนเก็บผ้าที่ทอเสร็จเรียบร้อยเอาไว้


7. ไม้หาบหูก คือ ไม้ไผ่กระบอกขนาดกลางยาวพาดคานไม้ เพื่อใช้ผูกเชือกโยงฟืมและรอกที่พยุงตะกอหรือเขาเอาไว้


8. เชือกฟืม คือ เชือกทำหน้าที่รัดคอกับคางฟืมให้พ้นหัวแน่นเข้า ใช้เชือกที่รัดนั้นโยงให้ลอยตัวเองอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้หลัก


9. เชือกเขา คือ เชือกพยุงตะกอ หรือเขา โดยผูกโยงกับไม้คานหูก


10. เส้นด้ายยืน คือ เส้นไหมที่ขึงในแนวตั้งในกี่ทอผ้า


ฟันหวี เป็นเครื่องมือทอผ้ามีลักษณะเป็นกรองสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำด้วยไม้หรือเหล็ก ขนาดกว้างประมาณ 14-16 เซนติเมตร ยาวประมาณ 90 – 105 เซนติเมตร ตรงกลางเป็นไม้ไผ่ซี่เล็ก ๆ คล้ายหวี ระยะระหว่างซี่จะห่างกันตามความต้องการแต่ละช่อง จะใช้สอดคล้องเส้นยืนเข้าไปหนึ่งเส้นเป็นการจัดเส้นด้ายยืนให้อยู่ห่างกันตามความละเอียดของเนื้อผ้า ฟืมจะเป็นตัวกระทบให้ได้เส้นพุ่งแนบขัดสานกับเส้นยืน
เพื่อให้ลายเนื้อผ้าติดกัน ฟืมที่มีซี่เป็นสามารถจัดซี่ได้ถี่และมีจำนวนซี่มากกว่าไม้ ที่มีขนาดเดียวกัน ผ้าที่อดจะเนื้อแน่นละเอียดและหนากว่า


ไม้ค้ำ เป็นอุปกรณ์ค้ำแยกเส้นยืนออกจากกัน เพื่อทอเสริมเส้นพุ่งพิเศษได้ง่ายขึ้น ผู้ทอใช้ไม้ค้ำในการทอขิดและจก


ผังหรือธนู ทำจากซี่ไม้ไผ่ดัดโค้งที่ปลายทั้งสองด้านหุ้มเหล็กปลายแหลม เพื่อเสียบยึดกับริมผืนผ้า ช่วยขยายหน้าผ้าไว้ให้เท่ากันตลอด เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยขึงกำกับขนาดหน้าผ้าให้สม่ำเสมอ โดยผู้ทอจะขยับเลื่อนผัง หรือธนูตามขอบหรือริมผ้าที่ทอเสร็จไปเรื่อย ๆ


แปรงหวีเครือเส้นด้ายยืนหรือแปรงหวีหูก เป็นอุปกรณ์ในการหวีเครือเส้นด้ายยืน เพื่อจัดระเบียบเส้นใยมิให้พันกันยุ่งขณะทอผ้า แต่ให้เรียงตัวเป็นระเบียบ โดยเฉพาะการทอไหมจะทอได้สะกวดขึ้น

.

วิธีการทอผ้าลายมัดหมี่

การทอ คือ การนำด้ายสองชุดมาขัดกันหรือสานกันเป็นมุมฉาก เส้นด้ายที่เรียงขนานกันตามยาวแนวนอน เรียกว่า ด้ายยืน เส้นด้ายที่เรียงขนานกันตามแนวขวางเรียกว่าด้ายพุ่ง

ขั้นตอนในการทอผ้ามัดลายมัดหมี่

1) สืบเส้นด้ายยืนเข้ากับแกนม้วนด้ายยืน และร้อยปลายด้ายแต่ละเส้นเข้าในตะกอแต่ละชุดและฟันหวี ดึงปลายเส้นด้ายทั้งหมดม้วนเข้ากับแกนม้วนผ้าอีกด้านหนึ่งปรับความตึงหย่อนให้พอเหมาะ

2) เริ่มทอโดยกดเครื่องแยกหมู่ตะกอเส้นด้ายยืน ชุดที่ 1 จะถูกแยกออกและเกิดช่องว่างสอดกระสวยด้ายพุ่งผ่านสลับตะกอ ชุดที่ 1 ลงยกตะกอชุดที่ 2 ขึ้น สอดกระสวยด้ายพุ่งกลับทำสลับกันไปเรื่อย ๆ

3) การกระทบฟันหวี (ฟืม) เมื่อสอดกระสวยด้ายพุ่งกลับ ก็จะกระทบฟันหวี เพื่อให้ด้ายพุ่งแนบติดกัน ได้เนื้อผ้าไม่ลวนหลวม

4) การเก็บม้วนผ้า เมื่อทอได้พอประมาณแล้วจะม้วนเก็บในแกนม้วนผ้า โดยผ่อนแกนด้ายยืนให้คลายออกและปรับความตึงหย่อนใหม่ให้เหมาะสม ระยะเวลาการทอผ้ามัดลายมัดหมี่ ตั้งแต่ขั้นเตรียมการจนสำเร็จเป็นผืน ใช้เวลาแต่ละขึ้นตอนแตกต่างกัน ดังนี้
- การเตรียมเส้นยืน ใช้เวลาประมาณ 15 – 20 วัน เฉลี่ยวันละ 3 – 4 ชั่วโมง
- การเตรียมเส้นพุ่ง ใช้เวลาประมาณ 20 – 30 วัน เฉลี่ยวันละ 3 – 4 ชั่วโมง

การทอเริ่มตั้งแต่การพุ่งกระสวย จากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งพร้อมทั้งจัดความเป็นระเบียบทอผ้าได้ความยาว 15 เมตร ใช้เวลาประมาณ 3 – 4 เดือน

การทอผ้ามัดลายมัดหมี่ ต้องใช้ความละเอียดลออ และพิถีพิถันมาก เมื่อพุ่งกระสวยครั้งหนึ่งก็ต้องดูว่าตรงดอก ตรงลายที่มัดไว้หรือไม่ ถ้าไม่ตรงก็ต้องจัดให้ตรงแล้วจึงเริ่มทอต่อไปได้ การทอผ้าลายมัดหมี่แต่ละชิ้นนั้นต้องใช้เวลาและความประณีต จัดเรียงเส้นด้ายให้สม่ำเสมอคงที่ และทอเรียงตามลำดับก่อนหลัง เพื่อให้เกิดลวดลาย สวยงาม ถูกต้องตามความต้องการ งานฝีมือของ นางสุก กาฬภักดี ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ ฝึกหัดทำลองผิดลองถูก มาตั้งแต่อายุ 19 ปี จนปัจจุบันอายุ 70 ปี จึงนับว่าเป็นฝีมือและปัญญาของตนเองอย่างแท้จริง ซึ่งมีผลงาประดิษฐ์ผ้ามัดลายมัดหมี่ เช่น ขิดลายพริก มัดหมี่ลายขอคำเดือน มัดหมี่ลายขอน้อย มัดหมี่ลายหัวปลาทู มัดหมี่ลายกระแตยองตอ มัดหมี่ลายกาบ ขิดลายมะลอด ลายกาบ ลายขอใหญ่ผสมลายขิด ลายขอดาน ลายขอแอก ลายขอแอก/ลายต้นสน ลายต้นสน ลายพญานาค/ขิดดอกจัน ลายหัวใจ


.

ขั้นตอนหลังการผลิต

นางสุก กาฬภักดี ได้ผลิตผ้าทอลายมัดหมี่ติดต่อกันมามากกว่า 50 ปี ปัจจุบันแม้จะมีอายุมากขึ้น ก็ยังสามารถผลิตผ้าทอลายมัดหมี่ได้ โดยผ้าที่ทอขึ้นมาได้นำไปใช้ ดังนี้

- เป็นเครื่องนุ่งห่มในครอบครัว
- แบ่งปันให้ลูกหลาน
- แบ่งปันให้ญาติมิตรของสามี และญาติพี่น้องของตนในเทศกาลต่าง ๆ
- ถวายเป็นสังฆทานอุทิศให้บรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้ว
- ส่วนที่เหลือจะจัดเก็บไว้ใช้ ไม่ได้จำหน่าย


.

วัตถุประสงค์ของการผลิต

การทอผ้ามัดลายมัดหมี่ของ นางสุก กาฬภักดี เป็นการทอเพื่อการใช้ในครัวเรือน และสำหรับเครือญาติเท่านั้น


.

ประโยชน์และหน้าที่ใช้สอย

ใช้ตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่ม เช่น ชุดทำงาน ชุดไปทำบุญและร่วมงานประเพณีต่าง ๆ เป็นกระเป๋า ถุงย่าม ใช้เป็นผ้าถุงนุ่งอาบน้ำ ใช้เป็นเปลสำหรับให้เด็กนอนในสมัยโบราณ ทำเป็นของที่ระลึก

.

ผลงานในกลุ่มที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน

การทอผ้าของชุมชนหมู่บ้านหนองฉนวน เป็นการทำในลักษณะต่างคนต่างทำเพื่อใช้ในครัวเรือน ส่วนที่เหลือก็จะขาย ไม่มีการรวมตัวเป็นกลุ่ม ลักษณะการทอส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้าย ๆ ของ นางสุก กาฬภักดี เพราะมีการรับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ


.