วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความเป็นมา

การทอผ้ามัดลายมัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นบ้านที่นิยมทำกันมานานแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ภาคกลางมีการทอผ้ามัดลายมัดหมี่ในหลายจังหวัดเช่น จังหวัดชัยนาท จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดลพบุรี ส่วนภาคเหนือมีการทอผ้าที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดน่าน (ผ้าไทย.....สายใยแห่งภูมิปัญญาสู่คุณค่าเศรษฐกิจไทย, 2548,42

สรุป ผ้ามัดลายมัดหมี่เป็นกรรมวิธีในการทอผ้าอย่างหนึ่ง ที่สร้างลวดลายก่อนย้อม โดยการเอาเชือกมัดด้ายหรือไหมเป็นเปราะ ๆ ตามลาย เมื่อย้อมสีจะไม่ติดส่วนที่ย้อมไว้ทำให้เกิดลวดลายถ้าต้องการให้มีหลายสีก็ต้องย้อมหลายครั้งจนครบสีที่ต้องการ (ศาสตราจารย์วิบูล ลี้สุวรรณ,สารานุกรมผ้า/เครื่องถักทอ:2550:222

ผ้ามัดลายมัดหมี่ คือ ผ้าที่ทอจากด้ายหรือไหมที่ผูกมัดโดยการตัดผูกให้เป็นลวดลาย แล้วย้อมสีก่อนทอ ผ้ามัดลายมัดหมี่มีทั้งทอด้วยด้ายและไหม ในปัจจุบันนอกจากจะนิยมทอด้วยเส้นใย ฝ้าย และเส้นใยไหม ซึ่งเป็นใยธรรมชาติแล้วยังทอจากเส้นใยวิทยาศาสตร์ เช่น เส้นใยโทเรอีกด้วย

ลักษณะเฉพาะของผ้ามัดลายมัดหมี่ คือ รอยซึมของสีที่วิ่งไปตามบริเวณของลวดลายที่ถูกมัดและการเหลื่อมล้ำในตำแหน่งของเส้นด้ายเมื่อถูกนำขึ้นกี่หรือในขณะที่ทอซึ่งจะทำให้เกิดลักษณะลายที่คลาดเคลื่อนจากผ้าทอชนิดอื่น ๆ การใช้ความแม่นยำในการมัด การย้อม และการขึ้นด้ายบนกี่ตลอดจนการทอจะช่วยลดความคลาดเคลื่อนนี้ลงได้ หรืออาจใช้ลักษณะ การเหลื่อมล้ำนี้เป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบ ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ของผ้ามัดลายมัดหมี่ (เยาวนิจ ทองพาหุสัจจะและคณะ 2526:1)

การออกแบบลวดลายผ้ามัดลายมัดหมี่เป็นการสร้างสรรค์ลวดลาย จากช่วงจังหวะการมัดเส้นใยไหม หรือเส้นใยฝ้ายเป็นเปลาะ ๆ ด้วยเส้นเชือก แต่เดิมจะใช้เชือกกล้วยซึ่งหาได้ง่ายเพราะทำได้เองจากาบกล้วย ในปัจจุบันนิยมใช้เชือกฟางพลาสติกแทน การมัดด้วยเส้นเชือกนี้ทำให้สีซึมผ่านเข้าไปในบริเวณที่ถูกมัดไม่ได้ เมื่อนำเส้นใยไปย้อมสีแล้วแกะเชือกออกจึงเกิดเป็นจังหวัดลวดลาย ตามช่วงของการมัดเส้นเชือก ลวดลายมัดหมี่จะคมชัดสวยงาม หากมัดให้แน่นในแต่ละจุดแต่ถ้ามัดไม่แน่นจะทำให้สีซึมเลอะ อีกทั้งขั้นตอนในการย้อมสีต้องถี่และทุกเส้นใยให้สีซึมทั่วถึงกันปมเชือกทุกจุดจึงต้องมัดให้แน่น บางท้องถิ่นที่นิยมลวดลายหมี่หลาย ๆ สี ต้องมัดรอบสี และย้อมสีหลาย ๆ ครั้ง

ลวดลายมัดหมี่ที่มีการสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณนั้นส่วนใหญ่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมในวิถีชีวิต ความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น ลายดอกแก้ว ลายต้นสน ลายโคมห้า ลายโคมเจ็ด ลายบายศรี ลายกวาง ลายนกยูง ลายเต่า และลายพญานาค (ผ้าไทย........สายใยแห่งภูมิปัญญาไทย สู่คุณค่าเศรษฐกิจไทย,2548,42)

การใช้ผ้าลายมัดหมี่ในประเทศไทย นิยมใช้กันเป็นเครื่องนุ่งห่ม โดยทอผ้ามัดหมี่เป็น ๒ รูปแบบ คือผ้าซิ่น และผ้าโจงกระเบน ปัจจุบันได้พัฒนารูปแบบให้เกิดประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น เช่น ผ้าปูโต๊ะ ผ้าคลุมเตียง ผ้าม่าน

เทคนิคการทอผ้าแบบมัดหมี่ จำแนกประเภทตามระบบสากลได้ 3 ประเภท คือ

1. มัดหมี่เส้นพุ่ง (weft lkat) เป็นผ้ามัดหมี่ที่มัดย้อมลวดลายเฉพาะเส้นพุ่งเท่านั้น
2. มัดหมี่เส้นยืน (warp lkat) เป็นผ้ามัดหมี่ที่มัดลวดลายเฉพาะเส้นยืนเท่านั้น
3. มัดหมี่ซ้อนหรือมัดหมี่สองทาง (Double lkat) เป็นผ้ามัดหมี่ที่มัดย้อมลวดลายทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน

ผ้ามัดลายมัดหมี่ที่เป็นผลผลิตของหมู่บ้านหนองฉนวน ตำบลบ่อกรุ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี จะเป็นเทคนิคการทอผ้ามัดหมี่ซ้อนหรือมัดหมี่สองทาง (Double lkat) เป็นผ้ามัดหมี่ที่มัดย้อมลวดลายทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน

.

เครื่องมือที่ใช้ในการทำผ้ามัดลายมัดหมี่

1. เส้นด้ายสีขาว ทำเป็นไจ
2. ปอสี สำหรับใช้มัดลายบนเส้นด้าย บางคนก็อาจใช้เชือกกล้วย
3. กง คือ ทำด้วยไม้ไผ่ไขว้กัน ใช้ปั่นฝ้ายใส่หลอด
4. หลา คือ เครื่องมือสำหรับปั่นฝ้าย ปั่นหลอด

.

ขั้นตอนการผลิต

ขั้นตอนที่ 1 นำเส้นด้ายที่ซื้อจากร้านค้า เป็นไจ นำมาใส่กง มีลักษณะนามเป็น เข็ด จะมีทั้งขนาดเข็ดเล็ก และเข็ดใหญ่ ปริมาณด้าย 5 ไจ หรือ 5 เข็ด เรียกว่า กั้น ใช้หลอดละไจ แล้วแยกเส้นด้ายเพื่อมิให้ติดกัน หรือพันกันให้เรียบร้อย


ขั้นตอนที่ 2 ถ่ายเส้นด้ายไปพันรอบหลักหมี่ หรือโฮงหมี่ ซึ่งมีความกว้างสัมพันธ์กับความกว้างของฟืมที่ใช้ทอผ้า นับจำนวนเส้นด้ายให้เป็นหมวดหมู่ แต่ละหมู่มีจำนวนเส้นด้ายสัมพันธ์กันกับลวดลายที่จะใช้ แล้วนำไปค้นหมี่ ซึ่งวิธีการค้นหมี่ คือการนำเส้นฝ้ายมามัดเข้ากับหลักหมี่โดยเริ่มต้นจาก
ด้านล่างก่อนแล้วพันรอบหลักหมี่ไปเรื่อย ๆ เรียกว่า การก่อหมี่ การค้นหมี่จะต้องค้นจากล่างขึ้นบน หรือบนลงล่างก็ได้ จนครบจำนวนรอบที่ต้องการ วนรอบทีละ 2 เส้น ถ้าเริ่มต้นจากด้านขวา ก็ต้องวนซ้ายมาขวาทุกครั้ง ตรงกลางของเส้นด้ายแต่ละลำจะมีสายแนมผูกไว้ เพื่อไม่ให้หมี่พันกัน หรือหลุดออกจากกัน ใช้เวลาประมาณในการทำรอบหลักหมี่ประมาณ 1 ชั่วโมง


ขั้นตอนที่ 3 เมื่อวนเส้นด้ายครบรอบตามต้องการแล้ว ใช้มือรูดเส้นด้ายที่เป็นช่วง ๆ เพื่อมิให้เส้นด้ายติดกัน ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สำหรับป้าสุก กาฬภักดี จะรูดเส้นด้ายจากโฮงมัดหมี่ไปใส่โฮงมัดหมี่อีกอันหนึ่งเพื่อเตรียมมัดเป็นลวดลาย


ขั้นตอนที่ 4 การมัดหมี่ มัดกลุ่มเส้นด้ายแต่ละลูกหมี่ด้วยเชือกฟางจนครบโฮงมัดหมี่ การเริ่มต้นมัดลายหมี่ อาจมดจากด้านบนไล่เรียงลงข้างล่าง หรือมัดข้างล่างก่อนจึงไล่เรียงขึ้นข้างบน หรือมัดจากตรงกลางก่อน จึงขยายออกไปเต็มโฮงมัดหมี่ การมัดให้เริ่มมัดปลายเชือกด้านหนึ่งกับลูกหมี่ก่อนแล้วจึงพันอีกปลายหนึ่งซ้อนทับให้แน่นมัดให้เป็นแถว ไม้แถวหนึ่งมีจำนวนเส้นด้าย 25 เส้น ส่วนแถวที่สอง จำนวน 12 เส้น ผูกเป็นแถว ๆ ต่อไป ๆ จนครบ 39 แถว ไม่ให้สีย้อมซึมเข้าข้อหมี่ เมื่อพันทับกันไปจนได้ความยาวตามลายหมี่แล้ว มัดปลายเชือกกับลูกหมี่ให้แน่นเช่นกน โดยเหลือปลายเชือกไว้ เมื่อเวลาแก้ปอมัดจะทำได้ง่าย เอาเชือกเส้นหนึ่งสอดเข้าไปช่องหลักหมี่ข้างใดข้างหนึ่งผูกกลุ่มด้ายไว้เป็นวงไม่ให้หมี่ที่มัดลวดลายแล้วหลุดออกจากกัน และใช้เป็นหูหิ้วสำหรับจับเวลาย้อม ถอนด้ายมัดหมี่อออกจากโฮงมัดหมี่ หรือหลักหมี่ สำหรับป้าสุก กาฬภักดี จะมัดโดยดูลวดลายจากแบบ แต่บางครั้งลวดลายก็อยู่ในใจการผูกมัดลายจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีแบบก็สามารถมัดได้เลย

.

อุปกรณ์การย้อม

1. สีสังเคราะห์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการย้อม ที่นางสุก กาฬภักดี ใช้ย้อมมัดหมี่ ประกอบด้วย สีสังเคราะห์ หรือที่เรียกกันว่าสีเคมี เป็นสีที่สงเคราะห์ขึ้นจากสารเคมี หรือสีวิทยาศาสตร์เป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายเพราะให้สีที่สดใสและสะดวกกว่าสีที่ได้จากธรรมชาติ ราคาขายในปัจจุบัน 10 กรัม (1 ขีด) ประมาณ 40-50 บาท ผู้ทอสามารถเลือกสีและปริมาณได้ตามความต้องการของทุนทรัพย์แต่ละคน
2. เตาไฟ
3. เชื้อเพลิง (ไม้แห้ง)
4. กาละมังสังกะสี หรือโลหะ
5. น้ำสะอาด
6. ไม้ไผ่เหลากลม ๆ 2 อัน ขนาดความยาว 50 เซนติเมตร. กว้างและหนาประมาณ1 เซนติเมตร

.

ขั้นตอนการย้อมผ้ามัดลายมัดหมี่ และการแก้ปอมัดหมี่

ขั้นตอนที่ 1 ใส่น้ำสะอาดตั้งเตาไฟให้เดือดอุณหภูมิ ประมาณ 98 – 100 องศา เมื่อน้ำเดือนใส่สีเคมีลงในกะละมังย้อม ลายลายน้ำให้ดีแล้วนำด้ายลงย้อมประมาณ 20 นาที ระหว่างการย้อมต้องกลับเส้นด้ายเรื่อย ๆ เพื่อให้สีย้อมซึมเข้าสม่ำเสมอ


ขั้นตอนที่ 2 นำเส้นด้ายมัดหมี่ไปล้างในกะละมังน้ำเปล่าเพื่อล้างสีอออกแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง


ขั้นตอนที่ 3 เมื่อเส้นด้ายมัดหมี่แห้ง แล้วก็นำไปใส่โฮงมัดหมี่เพื่ออบสี โดยการเอาเชือกปอแก้วไปมัดตรงสีที่ได้รับการย้อมแล้ว ต่อจากนั้นแก้มัดที่ต้องการย้อมสีออก แล้วย้อมสีที่สองทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้สีครบตามความต้องการ สีขาวคือสี่แก้มัดครั้งสุดท้าย (การมัดด้ายเป็นวิธีการป้องกันมิให้สีอื่น ๆ เข้าไปติดบริเวณที่มัดไว้)


ขั้นตอนที่ 4 การแก้หมี่ คือ กรรมวิธีแก้เชือกปอแก้วที่ใช้มัดหมี่แต่ละลำออกให้หมด โดยใช้มีดคม ๆ หรือใบมีดโกนชนิดมีด้าม การแก้หมี่จะต้องทำอย่างระมัดระวังอย่าให้มีดถูกเส้นด้ายขาด เมื่อแก้เชือกฟางออกหมดแล้วจะเห็นลายหมี่ที่สวยงามและชัดเจนมาก

.

การเตรียมเส้นพุ่ง

ขั้นตอนที่ ๑ การกวัดหมี่ นำหมี่ที่แก้เรียบร้อยแล้วใส่กง และกวัดออกจนหมดปอย ต้องระมัดระวังอย่าให้เส้นด้ายขาดตอนเพราะเมื่อนำไปทอแล้วจะไม่เป็นลายตามต้องการ


ขั้นตอนที่ ๒ การปั่นหลอด นำด้ายมัดหมี่ที่กวักเรียบร้อยแล้วไป “ปั่น” (กรอ) ใส่หลอดไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่เสียบแน่นอยู่กับเหล็กในของหลา ความยาวของหลอดไม้ไผ่สัมพันธ์กันกับกระสวยทอผ้า เมื่อหมุนกงล้อไม้ไผ่ของหลา ให้ได้จำนวนเส้นด้ายหมี่พอเหมาะกับขนาดของร่องกระสวยทอผ้า


ขั้นตอนที่ ๓ การร้อยหลอดด้าย ร้อยหลอดด้ายที่ปั่นแล้วตามลำดับก่อนหลังห้ามร้อยขาดจะทำให้ลำดับลายผิดไปไม่สามารถทอเป็นลวดลายตามต้องการได้


กระสวย คือ ที่ใส่ด้ายเส้นพุ่งที่ใช้ในการทอผ้า โดยปกติมีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ส่วนหัวและส่วนท้ายของกระสวยจะเรียวมนคล้ายเรือ ปลายทั้งสองข้างงอนเชิดเล็กน้อย ตรงกลางป่องและเจาะเป็นช่องสำหรับใส่ด้ายที่กรอ ๆ ไว้เป็นด้ายเส้นพุ่ง ใสขณะที่ทอกระสวยจะพุ่งสลับซ้ายขวาไปมา เพื่อสอดด้ายเส้นพุ่งไม่ขัดกับด้ายเส้นยืน สลับกับการกระทบฟืม เพื่อให้เส้นด้ายเรียงเข้าด้วยกันแน่นและเป็นระเบียบ


หลอดใส่ฝ้าย ทำด้วยเหล็กหรือไม้ตัดเป็นแท่งใช้สำหรับใส่ด้ายเข้ากระสวยเตรียมทอผ้า


.

การเตรียมเส้นยืน

ขั้นที่ 1 การเดินฝ้าย ใช้เครื่องเดินด้ายที่มีรางสำหรับบรรจุหลอดที่ปั่นไว้แล้ว และแคร่สำหรับเดินด้าย เรียกว่า “เผือ” โครงไม้สำหรับเตรียมด้ายยืม รางมีขนาดพอเหมาะ ขนาดกว้างประมาณ 1 เมตร (ใช้ช่องว่างของใต้ถุนบ้านเป็นสถานที่วางราวหลอดด้าย) สามารถบรรจุหลอดด้ายประมาณ 180 – 200 หลอด ส่วนแคร่จะตั้งไว้ที่พื้นบ้านมีขนาดความกว้างประมาณ 1 เมตร ยาว 2 – 3 เมตร บรรจุเส้นยืนไว้ราว 200 หลา หรือประมาณ 15 เมตร เมื่อเดินด้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องปลดเส้นยืนออกจากแคร่ ขมวดให้เป็น
ลูกโซ่เพื่อกันมิให้ยุ่งก่อนเก็บลงหีบในขั้นตอนนี้ มีเทคนิคที่ต้องจัดด้ายให้เป็นหมวดหมู่ เรียกว่า การค้นด้าย เพื่อจัดเรียงเส้นด้าย กำหนดจำนวนเส้นด้ายและขนาดความยาวของผืนผ้าที่จะทอเป็นกรรมวิธีที่ต้องใช้สมาธิและทักษะชั้นสูง


รางหลอด เป็นอุปกรณ์หลังจากการเตรียมเส้นยืน และกรอเข้าหลอดเรียบร้อยแล้วถอดหลักเอาหลอดด้ายใส่เป็นหลอด ๆ จำนวนหลอดมากหรือน้อยขึ้นอยู่ที่การคำนวณเส้นยืนเพื่อใช้ในการทอ ที่ใช้รางหลอดก็เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการเก็บเป็นหมวดหมู่และง่ายต่อการใช้


ขั้นที่ 2 การหวีด้าย คือการแผ่เส้นจากลักษณะ ที่เป็นกำให้กระจายออกเป็นแผ่นเรียบ ๆ สม่ำเสมอกันม้วนเก็บเข้าแกนของกงพัดสำหรับตั้งบนกี่ ขั้นแรกจะต้องนำเอาปลายด้านหนึ่งของเส้นยืนสอดเข้าในม้วนด้าย ร้อยเส้นยืนฟันหวี ซึ่งมีจำนวนกว้างตามความต้องการ โดยผูกเข้ากับแกนกงพัดอีกคนหนึ่งใช้ฟันหวี หวีด้ายให้เรียบสม่ำเสมอกัน แล้วจึงนำไปขึงบนกี่สำหรับเก็บตะกอต่อไป

ขั้นที่ 3 การเก็บตะกอ เป็นการต่อด้ายยืนหรือด้ายเครือเข้ากับตะกอ (เหา) เส้นยืนแต่ละเส้นจะถูกคล้องไว้ด้วยห่วงเส้นด้ายสองอัน เส้นหนึ่งจะใช้สำหรับดึงเส้นยืน ส่วนอีกเส้นหนึ่งจะใช้ดึงเส้นยืนลง การเก็บตะกอ (เหา) เป็นการแบ่งด้ายออกเป็นหมู่ ๆ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทลวดลายที่ต้องการ เมื่อเก็บตะกอแล้ว เส้นยืนจะผูกเครือไว้กับเสา แล้วใช้ไม้ไขว้ดึงด้ายเครือทีละเส้น (ปกติจะมี 2 เหา) วางไว้บนกี่ สำหรับทอต่อไป วิธีการนี้เรียกว่า สืบหูกเก็บเหา

.